Date April 1st 2020 - COVID-19
COVID-19 กำลังบังคับให้รัฐบาล บริษัท และสังคม เพิ่มศักยภาพของตนเองเพื่อรับมือกับช่วงเวลาของการโดดเดี่ยวทางเศรษฐกิจ (economic self-isolation)
จะสร้างโลกที่แคบลง ยากจนขึ้น และเปิดกว้างน้อยลง ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่แบบนี้ก็ได้ แต่เมื่อเราเจอกับไวรัสที่แพร่ได้รวดเร็วและทำให้ถึงตายการวางแผนที่ไม่เพียงพอ และผู้นำที่ไม่มีประสิทธิภาพ รวมๆ กันแล้ว ก็อาจจะเป็นการพามนุษยชาติเดินไปบนเส้นทางสายใหม่ที่น่าวิตกกังวล
อังค์ถัด (UNCTAD) ประเมินว่าการลงทุนระหว่างประเทศ (FDI) ปีนี้จะหดหายไปร้อยละ 40 นักลงทุนทั่วโลกชะลอการลงทุน จากเดิมที่ประเมินว่าปีนี้จะโตร้อยละ 5 และชี้ว่าห่วงโซ่อุปทานกำลังเสียหายหนัก กระทบเศรษฐกิจทุกด้าน
สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนพ.ค. ตลาดวันพฤหัสบดี ที่ 26 มี.ค. ปิดที่ราคา 22.60 ดอลลาร์/บาร์เรล รัฐบาลสหรัฐได้
ยุติแผนซื้อน้ำมันกักเก็บในคลังสำรอง เนื่องจากสภาคองเกรสไม่อนุมัติงบประมาณ
(เรียกว่าของถูกแต่ไม่มีเงินซื้อ)
สายการบินหยุดเที่ยวบินการทั่วโลก, สายการผลิตขาดช่วงชิ้นส่วนจากต่างประเทศ, น้ำมันจะเรียกว่าลดราคาการสุดๆจนกลุ่มโอเปกน่าจะแตกหักกันในเร็วๆนี้, คงได้เห็นบริษัทเอกชนน้ำมันที่มีต้นทุนการผลิตสูงค่อยๆปิดตัวลงครับ
หลัง COVID-19 ก็มีการวิตกว่าจะเกิดรอบสอง
การท่องเที่ยวก็คงซบเซาต่อ..
สำหรับผู้นำรัฐบาลแต่ละประเทศ
“การพิสูจน์ว่า พวกเขาสามารถจัดการกับวิกฤต COVID-19 ได้ จะทำให้พวกผู้นำได้ทุนทางการเมือง (political capital) แต่คนที่จัดการกับวิกฤตไม่ได้ก็จะพบว่า มันเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะไม่โทษคนอื่นสำหรับเรื่องที่ตัวเองทำผิดพลาด”
👉🏾 Kishore Mahbubani (สิงคโปร์) กล่าวว่า
โลกาภิวัตน์ที่มีจีนเป็นศูนย์กลางมากขึ้น –
"COVID-19 เป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว คือโลกาภิวัตน์ที่เคยมีสหรัฐฯ เป็นศูนย์กลาง จะกลายเป็นโลกาภิวัตน์ที่มีจีนเป็นศูนย์กลางมากขึ้น"
ประชาชนชาวอเมริกันสูญเสียศรัทธาในโลกาภิวัตน์และการค้าระหว่างประเทศ ข้อตกลงการค้าเสรีกลายเป็นพิษ (toxic) ไม่ว่าจะมีทรัมป์หรือไม่มีก็ตาม แต่จีนไม่ได้สูญเสียศรัทธาตรงนี้
สรุปแล้วหลังวิกฤติจาก COVID-19 แล้วก็คงจะพบกับความสัมพันธ์ใหม่, จากความหายนะทางสุขภาพ, การเงินและเศรษฐกิจ บริบทใหม่ของสังคมโลกใบนี้จะเป็นอย่างไร?
COVID-19 กำลังบังคับให้รัฐบาล บริษัท และสังคม เพิ่มศักยภาพของตนเองเพื่อรับมือกับช่วงเวลาของการโดดเดี่ยวทางเศรษฐกิจ (economic self-isolation)
จะสร้างโลกที่แคบลง ยากจนขึ้น และเปิดกว้างน้อยลง ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่แบบนี้ก็ได้ แต่เมื่อเราเจอกับไวรัสที่แพร่ได้รวดเร็วและทำให้ถึงตายการวางแผนที่ไม่เพียงพอ และผู้นำที่ไม่มีประสิทธิภาพ รวมๆ กันแล้ว ก็อาจจะเป็นการพามนุษยชาติเดินไปบนเส้นทางสายใหม่ที่น่าวิตกกังวล
อังค์ถัด (UNCTAD) ประเมินว่าการลงทุนระหว่างประเทศ (FDI) ปีนี้จะหดหายไปร้อยละ 40 นักลงทุนทั่วโลกชะลอการลงทุน จากเดิมที่ประเมินว่าปีนี้จะโตร้อยละ 5 และชี้ว่าห่วงโซ่อุปทานกำลังเสียหายหนัก กระทบเศรษฐกิจทุกด้าน
สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนพ.ค. ตลาดวันพฤหัสบดี ที่ 26 มี.ค. ปิดที่ราคา 22.60 ดอลลาร์/บาร์เรล รัฐบาลสหรัฐได้
ยุติแผนซื้อน้ำมันกักเก็บในคลังสำรอง เนื่องจากสภาคองเกรสไม่อนุมัติงบประมาณ
(เรียกว่าของถูกแต่ไม่มีเงินซื้อ)
สายการบินหยุดเที่ยวบินการทั่วโลก, สายการผลิตขาดช่วงชิ้นส่วนจากต่างประเทศ, น้ำมันจะเรียกว่าลดราคาการสุดๆจนกลุ่มโอเปกน่าจะแตกหักกันในเร็วๆนี้, คงได้เห็นบริษัทเอกชนน้ำมันที่มีต้นทุนการผลิตสูงค่อยๆปิดตัวลงครับ
หลัง COVID-19 ก็มีการวิตกว่าจะเกิดรอบสอง
การท่องเที่ยวก็คงซบเซาต่อ..
สำหรับผู้นำรัฐบาลแต่ละประเทศ
“การพิสูจน์ว่า พวกเขาสามารถจัดการกับวิกฤต COVID-19 ได้ จะทำให้พวกผู้นำได้ทุนทางการเมือง (political capital) แต่คนที่จัดการกับวิกฤตไม่ได้ก็จะพบว่า มันเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะไม่โทษคนอื่นสำหรับเรื่องที่ตัวเองทำผิดพลาด”
👉🏾 Kishore Mahbubani (สิงคโปร์) กล่าวว่า
โลกาภิวัตน์ที่มีจีนเป็นศูนย์กลางมากขึ้น –
"COVID-19 เป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว คือโลกาภิวัตน์ที่เคยมีสหรัฐฯ เป็นศูนย์กลาง จะกลายเป็นโลกาภิวัตน์ที่มีจีนเป็นศูนย์กลางมากขึ้น"
ประชาชนชาวอเมริกันสูญเสียศรัทธาในโลกาภิวัตน์และการค้าระหว่างประเทศ ข้อตกลงการค้าเสรีกลายเป็นพิษ (toxic) ไม่ว่าจะมีทรัมป์หรือไม่มีก็ตาม แต่จีนไม่ได้สูญเสียศรัทธาตรงนี้
สรุปแล้วหลังวิกฤติจาก COVID-19 แล้วก็คงจะพบกับความสัมพันธ์ใหม่, จากความหายนะทางสุขภาพ, การเงินและเศรษฐกิจ บริบทใหม่ของสังคมโลกใบนี้จะเป็นอย่างไร?