ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (อังกฤษ: recession) เป็นการหดตัวของวัฏจักรธุรกิจซึ่งส่งผลให้เกิดการชะลอโดยรวมของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ตัวชี้วัดเศรษฐกิจมหภาคอย่างผลิตภัณฑ์ในประเทศเบื้องต้น (GDP) รายจ่ายการลงทุน กําลังผลิตของภาคอุตสาหกรรม รายได้ครัวเรือน กำไรธุรกิจและเงินเฟ้อลดลง ส่วนการล้มละลายและอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น
โดยทั่วไปภาวะเศรษฐกิจถดถอยเกิดเมื่อมีรายจ่ายลดลงอย่างกว้างขวาง (การเปลี่ยนแปลงอุปทานเป็นลบ) ซึ่งอาจเกิดจากหลายเหตุการณ์อย่างวิกฤตการเงิน การเปลี่ยนแปลงการค้าภายนอก และการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์เป็นลบ หรือการแตกของภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ รัฐบาลปกติสนองต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยด้วยการใช้นโยบายเศรษฐกิจมหภาคแบบขยายตัว เช่น การพิ่มอุปสงค์เงิน (นโยบายการคลัง) การเพิ่มรายจ่ายภาครัฐและการลดการเก็บภาษี (นโยบายการเงิน)
● อุปสงค์ (demand) หมายถึง ความต้องการซื้อ สินค้าและบริการ
● อุปทาน (supply) หมายถึง ความต้องการขาย สินค้าและบริการ
●ผลิตภัณฑ์ในประเทศเบื้องต้น หมายถึง มูลค่าตลาดของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตในประเทศในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ โดยไม่คำนึงว่าผลผลิตนั้นจะผลิตขึ้นมาด้วยทรัพยากรของชาติใด
GDP = Consumption + Investment + Government spending + (exports – imports)
หาก GDP เป็นบวก หมายความว่า เศรษฐกิจภาพรวมมีการเติบโตขึ้นจากปีก่อน คนมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ภาครัฐ ภาคเอกชนมีการลงทุนเพิ่มขึ้น และมูลค่าการส่งออกสูงกว่าการนำเข้า ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี เช่น ประมาณการ GDP ปี 2561 อยู่ที่ 4.4% แปลว่าเศรษฐกิจโดยรวมของปี 2561 โตขึ้นจากปี 2560 อยู่ที่ 4.4%
ในทางตรงกันข้าม หาก GDP ติดลบ เป็นการบ่งบอกถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศนั้นหยุดชะงัก ชะลอตัว หรือไม่เป็นไปตามที่ธนาคารกลางของประเทศประมาณการ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าการจ้างงานอาจจะต่ำกว่าคาด การลงทุนภาคอุตสาหกรรมลดลง การใช้จ่ายของภาครัฐน้อยกว่าที่คาด แม้กระทั่งการบริโภคของประชาชนก็ลดลงด้วย ตัวเลข GDP ที่ติดลบนี้ จะทำให้นักลงทุนเกิดการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินไปลงทุนในตลาดหรือระบบเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพและมีการเติบโตที่มากกว่า
🤔 โดยสถิติล่าสุด ณ เดือนมกราคม-เมษายน 2563 มูลค่าการค้าระหว่างกัน1. จีน 786,231.4 ล้านบาท (16.2%)
2. สหรัฐ 578,104.5 ล้านบาท (11.9%)
3. ญี่ปุ่น 563,544.4 ล้านบาท (11.6%)
4. สิงคโปร์ 212,257.8 ล้านบาท (4.4%)
5. มาเลเซีย 187,504.7 ล้านบาท (3.9%)
6. อินโดนีเซีย 187,074.7 ล้านบาท (3.8%)
7. เวียดนาม 172,120.4 ล้านบาท (3.5%)
8. ฮ่องกง 150,871.3 ล้านบาท (3.1%)
9. ออสเตรเลีย 133,867.4 ล้านบาท (2.8%)
10. เกาหลีใต้ 131,333.3 ล้านบาท (2.7%)
ส่วนอันดับที่ 11-15 ได้แก่ไต้หวัน สวิตเซอร์แลนด์ อินเดีย เยอรมนี และกัมพูชา รวมถึงประเทศอื่น ๆ 1,763,935.7 ล้านบาท (36.2%) รวมทั้งสิ้น 4,886,845.6 ล้านบาท
#
●ภาวะเงินเฟ้อ (อังกฤษ: inflation) หมายถึง การที่ระดับราคาสินค้าหรือบริการในระยะเวลาหนึ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง
👉🏾 15 อันดับแรกของกลุ่มส่งออกที่ลงทะเบียนลดลงในการจัดส่งขาออก การส่งออกรถยนต์ชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริม ผลิตภัณฑ์ยาง ยาง; และอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ และชิ้นส่วนเพิ่มขึ้น แนวโน้มการส่งออกได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการค้าและการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก
💐 ความสุขคนไทย
รายงานสถิติความสุขใน World Happiness Report ในปี 2555 จนถึงปี 2562 ได้แสดงให้เห็นว่า คนไทยมีความสุขลดลงเรื่อย ๆ และปี พ.ศ. 2562 เป็นปีที่คนไทยมีความสุขต่ำที่สุด
รายงานสถิติความสุขใน World Happiness Report ในปี 2555 จนถึงปี 2562 ได้แสดงให้เห็นว่า คนไทยมีความสุขลดลงเรื่อย ๆ และปี พ.ศ. 2562 เป็นปีที่คนไทยมีความสุขต่ำที่สุด
แล้วปี 2563 นี้คนไทยจะมีความสุขเพิ่มหรือลด?
คนที่มักมีความพึงพอใจในชีวิตระดับสูงคือ รุ่น Baby boomer มีความพึงพอใจในชีวิตระดับ 9-10 ประมาณ 36% ซึ่งในระดับความพึงพอใจเดียวกันนี้ของคนรุ่น Gen Y มีเพียง 20% และ Gen Z มีเพียง 7% เท่านั้น
(รศ.ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และที่ปรึกษาของ TDRI เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2563)
👉🏾 จำนวนธนบัตรที่ใช้ในประเทศ
1,000 บาท 1,472,000,000 ฉบับ
500 บาท 305,000,000 ฉบับ
100 บาท 1,582,000,000 ฉบับ
50 บาท 523,000,000 ฉบับ
20 บาท 2,194,000,000 ฉบับ
1,000 มูลค่า 1,472,385,000,000 บาท
500 มูลค่า 152,293,000,000 บาท
100 มูลค่า 158,167,000,000 บาท
50 มูลค่า 26,145,000,000 บาท
20 มูลค่า 43,888,000,000 บาท
👉🏾 มุมมอง ดร. Jim Walker
ประการแรก เขาบอกว่า แม้ดัชนีค่าเงินบาทจะอยู่ในระดับเดียวกัน และการส่งออกสินค้าหดตัวเหมือนกันแต่บริบทในปัจจุบันและในปี 2540 แตกต่างกันมาก โดยในช่วงก่อนปี 2540 ไทยมีการใช้จ่ายเงินตราต่างประเทศเกินตัว สะท้อนจากดุลบัญชีเดินสะพัด (ส่วนต่างระหว่างรายได้เงินตราต่างประเทศจากการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวกับรายจ่ายในการนำเข้าสินค้าและบริการ) ที่ติดลบ ทำให้นักลงทุนและเจ้าหนี้ต่างประเทศไม่มั่นใจในค่าเงินบาทและเศรษฐกิจไทย ขณะที่ในปัจจุบัน ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเป็นบวกติดต่อกันมาหลายปี และเงินสำรองระหว่างประเทศมีมากกว่าช่วงปี 2540 หลายเท่าตัว
ประการที่สอง การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเป็นไปตามธรรมชาติ จากดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลในระดับสูงต่อเนื่อง และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ปรับดีขึ้น ประกอบกับในช่วงสองสามปีก่อนหน้า ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ มีแนวโน้มอ่อนค่า ซึ่งโดยปรกติแล้ว ค่าเงินบาทมักจะเคลื่อนไหวผกผันกับดัชนีค่าเงินดอลลาร์ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ แข็ง บาทก็จะอ่อน ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ อ่อน บาทก็จะแข็ง
ประการที่สาม อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. ในปีที่แล้วถือว่าผิดปรกติ โดยนับจากต้นปีถึงสิ้นปี ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แต่เงินบาทกลับแข็งค่าขึ้นค่อนข้างมาก และไม่สอดรับกับภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอลงแรง
ประการที่สี่ ดร. Jim Walker เห็นว่า ปัญหาที่ไทยประสบอยู่ตอนนี้ เกิดจากการที่กลไกทางเศรษฐศาสตร์ไม่ทำงาน โดยตามทฤษฎีแล้ว ค่าเงินที่แข็งขึ้นควรนำไปสู่การเพิ่มการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งจะมาพร้อมกับการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะไปช่วยลดขนาดของดุลบัญชีเดินสะพัด และการแข็งค่าของเงินบาทลงโดยอัตโนมัติแต่ในกรณีของไทย สิ่งเหล่านี้มิได้เกิดขึ้น เหมือนกับมีความหนืด (rigidity) อยู่ในระบบเศรษฐกิจ
จริงอยู่ ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันไม่เอื้อต่อการลงทุนมากนัก แต่ประเด็นคือ การลงทุนของไทยอยู่ในระดับต่ำอย่างยาวนานมาตั้งแต่ช่วงก่อนหน้า ทั้งๆที่ไทยมีศักยภาพมากในการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาค CLMVT แถมดอกเบี้ยก็อยู่ในระดับต่ำมาเป็นเวลานาน ซึ่งเขาสงสัยว่า เป็นเพราะภาคธุรกิจไทยไม่มั่นใจในการนำพาเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบัน ที่โดยพฤตินัยอยู่มาห้าปีกว่าแล้ว ทำให้ไม่กล้าลงทุน
ประการที่ห้าและประการสุดท้าย สำหรับการแก้ปัญหาบาทแข็ง ดร. Jim Walker มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำมากแล้ว การปรับลดลงอีกไม่น่าจะช่วยได้มาก ขณะที่การแทรกแซงค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
การแก้ปัญหาที่ต้นตอ คือ การลดความหนืดของระบบเศรษฐกิจ เพื่อให้กลไกทางเศรษฐศาสตร์ได้ทำงาน โดยรัฐบาลจะต้องสร้างความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจ เร่งรัดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ต่างๆ ควบคู่ไปกับการปฏิรูปประเทศอย่างจริงจัง ลดปัญหาคอร์รัปชั่น และลดกฎเกณฑ์ต่างๆที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการแข่งขันของภาคธุรกิจ เพื่อเอื้อ ease of doing business
ทั้งหมดนี้ คือ ทรรศนะต่อปัญหาค่าเงินบาทในปัจจุบันของนักวิเคราะห์ในตำนาน ซึ่งผมเห็นว่าน่าสนใจสำหรับผู้ที่ติดตามเศรษฐกิจไทยทุกคนครับ