Skip to main content

Belt and Road Initiative



ทางรถไฟความเร็วสูง​สิ้นปี​ 2019​ แตะ​ 35,000  กิโลเมตร​

Belt and Road Initiative เดินหน้าไปถึงไหนแล้ว?

IN THE NEWS
15 มิถุนายน 2019
ผู้เขียน: กัลยรักษ์ นัยรักษ์เสรี
เผยแพร่ในการเงินการธนาคาร คอลัมน์เกร็ดการเงิน วันที่ 15 มิถุนายน 2019

iStock-488854703_Resize.jpg

Belt and Road Initiative เดินหน้าไปถึงไหนแล้ว?

Belt and Road Initiative (BRI) หรือโครงการเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 คือยุทธศาสตร์หลักของจีนในการขยายอิทธิพลบนเวทีโลกผ่านการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งกับนานาประเทศ ยุทธศาสตร์นี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2013 ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง และครอบคลุมกว่า 80 ประเทศทั่วโลกทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา

หลัก ๆ แล้ว โครงการ BRI คือการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทั้งเส้นทางคมนาคม เช่น ถนน รถไฟ ทางยกระดับ ท่าเรือ รวมถึงพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษตลอดเส้นทาง โดยประกอบด้วย 2 เส้นทางหลัก คือ Silk Road Economic Belt ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมทางบกเชื่อมระหว่างจีน ประเทศแถบเอเชียกลาง และยุโรป และ Maritime Silk Road เส้นทางคมนาคมทางน้ำเชื่อมจากจีนไปยังประเทศแถบแอฟริกาและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สำหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษแบ่งออกเป็นโครงการระเบียงเศรษฐกิจ 6 แห่ง ได้แก่ (1) จีน-คาบสมุทรอินโดจีน (2) จีน-บังกลาเทศ-เมียนมา-อินเดีย (3) จีน-ปากีสถาน (4) จีน-เอเชียกลาง-เอเชียตะวันตก (5) เส้นทางยูเรเซีย และ (6) จีน-มองโกเลีย-รัสเซีย

ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ข่าวคราวความคืบหน้าของโครงการ BRI ดูจะแผ่วลงไปบ้าง เพราะทั่วโลกหันความสนใจไปที่สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ มากกว่า แต่การประชุม Belt and Road Forum ที่จัดขึ้นที่จีนเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมาก็ทำให้โครงการยักษ์ใหญ่นี้กลายเป็นที่จับตามองจากทั่วโลกขึ้นมาอีกครั้ง


จีนและประเทศในโครงการได้ประโยชน์อะไรจาก BRI บ้าง?

สำหรับจีน โครงการ BRI คือตัวช่วยขยายอิทธิพลของจีนบนเวทีโลก ผ่านการสนับสนุนเงินทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการเข้าไปลงทุนของบริษัทจีน ทั้งยังเป็นช่องทางช่วยลดอุปทานส่วนเกินในประเทศจากการนำวัสดุก่อสร้างที่ผลิตในจีนมาลงทุนในประเทศผู้ร่วมโครงการต่าง ๆ และในอีกทางหนึ่ง โครงการ BRI ก็มีส่วนช่วยเพิ่มบทบาทของเงินหยวนในฐานะสกุลเงินหลักของโลก

ในขณะเดียวกัน ประเทศอื่น ๆ ในโครงการ BRI ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศกำลังพัฒนาก็ได้ผลบวกจากทุนจีนที่เข้ามาช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการคมนาคมขนส่ง จากข้อมูลของ Euler Hermes ประเมินว่ามูลค่าการลงทุนจีนในประเทศโครงการ BRI ขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง จากที่ราว 2.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในระหว่างปี 2009-2013 เป็น 4.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในระหว่างปี 2014-2018[1] หรือเพิ่มขึ้นราว 57% ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี[2] ซึ่งโครงการ BRI จะช่วยขยายเส้นทางการค้าเชื่อมไปยังจีนที่มีตลาดขนาดใหญ่ พร้อมทั้งช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเพิ่มศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศของประเทศที่จีนเข้าไปลงทุนในอนาคต

จากปี 2013 BRI เดินหน้าไปถึงไหนแล้ว?

โครงการ BRI ที่เสร็จสิ้นการก่อสร้างไปแล้วมีอยู่ 3 โครงการใหญ่ ได้แก่

1) เส้นทางรถไฟอี้อู-ลอนดอน (Yiwu-London railway) เส้นทางขนส่งสินค้าจากจีน ผ่านคาซัคสถาน รัสเซีย เบลารุส โปแลนด์ เยอรมนี เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส และสิ้นสุดที่สหราชอาณาจักร ระยะทางรวม 12,000 กิโลเมตร โดยขบวนรถไฟส่งสินค้าขบวนแรกจากเมืองอี้อู มณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีนได้เดินทางถึงกรุงลอนดอนในเดือนมกราคม ปี 2017 ใช้เวลา 18 วัน ซึ่งเร็วกว่าการขนส่งสินค้าทางเรือซึ่งปกติใช้เวลาราว 30-45 วัน และมีต้นทุนต่ำกว่าการขนส่งทางอากาศ

2) ระเบียงเศรษฐกิจจีน-ปากีสถาน (China-Pakistan Economic Corridor) เป็นโครงการที่มีความคืบหน้ามากที่สุดในบรรดาระเบียงเศรษฐกิจทั้ง 6 แห่ง โดยโครงการย่อยที่ก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว ได้แก่ โรงไฟฟ้าถ่านหินที่ท่าเรือคาซิม มอเตอร์เวย์ระหว่างเมืองเปศวาร์และการาจีซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในปากีสถาน และถนนเชื่อมไปยังท่าเรือน้ำลึกกวาดาร์ ซึ่งรัฐบาลปากีสถานตั้งใจผลักดันให้เป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศภายในปี 2055

3) ท่าเรือน้ำลึกฮัมบานโตตา ประเทศศรีลังกา (Hambantota port) มีมูลค่าลงทุนรวม 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เริ่มก่อสร้างในปี 2008 โดยมีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าจีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ แต่ภายหลังรัฐบาลศรีลังกาตัดสินใจยกให้บริษัทท่าเรือสัญชาติจีนเป็นผู้ดูแลภายใต้สัญญาเช่า 99 ปี เพื่อเป็นการลดภาระหนี้

นอกจากนี้ จีนยังมีอีกหลายโครงการภายใต้แผน BRI ทั้งที่เพิ่งเริ่มวางแผนและที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง เช่น สะพานถนนและสะพานรถไฟจีน-รัสเซีย ท่าเรือเอกชนแห่งใหม่ที่อ่าวไฮฟา ประเทศอิสราเอลซึ่งบริษัทท่าเรือสัญชาติจีนได้สิทธิในการก่อสร้างและบริหารจัดการเป็นเวลา 25 ปี และโครงการทางรถไฟลาว-จีนซึ่งปัจจุบันมีความคืบหน้าแล้วกว่า 90% คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในสิ้นปี 2021 เป็นต้น

ในขณะเดียวกัน หลายโครงการของ BRI ก็ยังคงล่าช้ากว่าแผน ตัวอย่างเช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา-บันดุงในอินโดนีเซีย ซึ่งเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2016 แต่เกิดความล่าช้าจากปัญหาการเวนคืนที่ดินและงบประมาณบานปลายจากราคาที่ดินที่พุ่งสูงขึ้น เช่นเดียวกับโครงการท่าเรือน้ำลึกในเขตเศรษฐกิจเจ้าผิวของเมียนมา ซึ่งล่าช้าจากปัญหาการเมืองภายในและความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้ โดยล่าสุดรัฐบาลเมียนมาได้ขอลดขนาดเงินลงทุนโครงการจากเดิม 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐลงเป็น 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ต้นปี 2019 ทางการจีนก็ยังได้พันธมิตรเข้าร่วมโครงการ BRI เพิ่มขึ้นอีก 3 ประเทศ คือเปรู อิตาลี และสวิตเซอร์แลนด์ อิตาลีถือเป็นประเทศแรกในกลุ่ม G7 ที่เข้าร่วมกับ BRI โดยได้ลงนาม MOU ร่วมกับจีนเพื่อพัฒนาท่าเรือหลัก 4 แห่ง ในขณะที่สวิตเซอร์แลนด์ได้ตกลงร่วมมือกับจีนในด้านการค้า การลงทุน และการสนับสนุนเงินทุนสำหรับโครงการภายใต้แผน BRI