👉🏿 ประเทศในปีพ.ศ. 2562
คนจำนวน 10 % ถือครองที่ดินกว่า 90 %
ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
คนจำนวน 1 % ถือครองทรัพย์สิน 67 %
ขณะที่คนอีก 99 %
ถือครองทรัพย์สิน เพียง 33 %
นั้นคือความเหลื่อมซึ่งเกิดมาพร้อมกับโลกใบนี้ผู้มีอำนาจมากกว่าอยู่เหนือกว่าผู้มีอำนาจน้อยกว่า, ไม่แปลกคนมีเงินกินเหลาคนไม่มีกินข้าวจานเดียวไม่มีปัญหาถ้ามีจะกินสังคมก็ยังอยู่กันได้แล้วเหตุผลอะไรที่สังคมจะไม่พอใจชีวิตความเป็นอยู่ มาดูที่ปัจจัยสี่ ปัจจัยสี่ เป็นสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต่อการดำรงชีวิต โดยไม่ต้องพึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่นคอมพิวเตอร์ รถยนต์ ไฟฟ้า โทรศัพท์ เป็นต้น โดยปัจจัยทั้งสี่อย่างนี้มนุษย์ไม่สามารถขาดได้ เพราะเมื่อขาดแล้วอาจส่งผลต่อการดำเนินชีวิต ประกอบไปด้วย 4 ปัจจัยดังต่อไปนี้ อาหาร, เครื่องนุ่งห่ม, ยา และที่อยู่อาศัย ก็ย่อมมีปัญหา, แต่ถ้าไม่ใช้ปัจจัยสี่ เช่น คนมีเงินน้อยอยากได้รถยนต์แต่กำลังซื้อไม่พอก็ไม่มีกำลังซื้อไม่มีรถยนต์ส่วนตัวย่อมไม่เกิดปัญหาเพราะชีวิตยังดำรงอยู่ได้ แต่ปัจจัยสี่เป็นสิ่งที่รัฐต้องควบคุมราคา รัฐบาลในแต่ละประเทศจะมีการควบคุมเรื่องราคาอาหาร, ยารักษาและเครื่องนุ่งห่ม, ก็คงเหลือแต่เรื่องที่อยู่อาศัยนั้นแหละครับ
👉🏿 เวลาพูดถึงฮ่องกงหลายคนอาจนึกถึงความเจริญของเกาะนี้ ฮ่องกงเป็นเกาะที่เจริญมานานแล้วก่อนกลับคืนเป็นของจีน มีตึกสูงทันสมัยเต็มไปหมด แต่ในอีกด้านหนึ่งของสังคม คนส่วนใหญ่ทำงานแบบปากกัดตีนถีบ ห้องขนาด 20 ตร.ม. อาจต้องอยู่รวมกันถึง 10 คน นอนบนเตียงที่ซ้อนกัน 4-5 ชั้น ปี 2018 ราคาเฉลี่ยขั้นต่ำอยู่ที่ 16,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตร.ม. กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ได้รับผลกกระทบหนักที่สุดจากราคอสังหาริมทรัพย์จึงหมดหวังกับรัฐบาล
แอนดี้ เซี่ย นักเศรษฐศาสตร์อิสระในเซี่ยงไฮ้
เผยว่า การที่ราคาที่อยู่อาศัยพุ่งสูงขึ้น
สวนทางกับเงินเดือนทำให้กลุ่มคนรุ่นใหม่
มองไม่เห็นความหวัง
เพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถซื้อบ้าน
เพื่อเริ่มต้นครอบครัวใหม่ได้ ความผิดหวัง
หมดอาลัยตายอยาก
นี้เองที่ขับเคลื่อนการประท้วง
👉🏿 ต่งเจี้ยนหัว ผู้บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกงคนแรกหลังจากอังกฤษส่งมอบดินแดนแห่งนี้คืนให้จีน เขามีแผนจะสร้างที่พักอาศัยราคาถูกโดยตั้งเป้าไว้ปีละ 85,000 ห้องให้ชาวฮ่องกง เพื่อเพิ่มโอกาสให้ชาวฮ่องกงได้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เร็วขึ้น ทว่าการขัดขวางของไทคูนอสังหาริมทรัพย์และนักการเมืองฝ่ายที่หนุนประชาธิปไตยได้ทำการประท้วงจนต้องล้มเลิกแผนการ
👉🏿หนึ่งในดัชนีชี้วัดภาวะราคาอสังหาฯ แพงนั้นคือ อัตราราคาอสังหาฯ ต่อรายได้รวมต่อปี (Price to Income Ratio) ซึ่งหากดูตัวเลขนี้ระหว่าง ฮ่องกง และ สิงคโปร์ จะพบว่าแตกต่างกันอย่างชัดเจน (19 เท่า และ 5 เท่า ข้อมูลจากปี 2558) สิ่งนี้หมายความว่าราคาอสังหาฯ ในฮ่องกงนั้นสูงกว่ารายได้รวมในหนึ่งปี (ก่อนหักภาษี) ของครอบครัวหนึ่งถึง 19 เท่า!! เปรียบเทียบกับทางฝั่ง สิงคโปร์ ที่อยู่เพียงประมาณ 5 เท่า👉🏿 ต่งเจี้ยนหัว ผู้บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกงคนแรกหลังจากอังกฤษส่งมอบดินแดนแห่งนี้คืนให้จีน เขามีแผนจะสร้างที่พักอาศัยราคาถูกโดยตั้งเป้าไว้ปีละ 85,000 ห้องให้ชาวฮ่องกง เพื่อเพิ่มโอกาสให้ชาวฮ่องกงได้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เร็วขึ้น ทว่าการขัดขวางของไทคูนอสังหาริมทรัพย์และนักการเมืองฝ่ายที่หนุนประชาธิปไตยได้ทำการประท้วงจนต้องล้มเลิกแผนการ
(ข้อมูลอสังหาฯ public housing และ private sector จาก Hong Kong Housing Authority และ Department of Statistics Singapore)
ปัญหาราคาอสังหาริมทรัพย์แพง (เกินไป) ไม่ใช่เรื่องดีต่อภาคประชาชนและรัฐบาล ลองคิดถึงผลกระทบง่ายๆ หากครอบครัวหนึ่งต้องหมดเงินจำนวนมากในหนึ่งเดือนให้กับค่าเช่าหรือค่าผ่อนบ้าน คงไม่มีเงินเหลือต่อไปจับจ่ายใช้สอยหรือลงทุนในรูปแบบอื่นๆ ซึ่งการจับจ่ายใช้สอยและการลงทุนนั้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักให้เศรษฐกิจของประเทศหนึ่งดีขึ้นได้ หากภาคประชาชนหมดเงินไปกับบ้านมากเกินไป ภาคอสังหาฯ ก็จะโตกันอยู่ภาคเดียว ส่งผลอันตรายต่อไปยังชนชั้นระดับ กลาง – ล่าง ซึ่งจะเริ่มหาที่อยู่อาศัยไม่ได้ (ทั้งซื้อและเช่า) และหากเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้น รัฐบาลคงต้องปวดหัวเป็นแน่ เพราะจะต้องอัดฉีดเงินช่วยเข้ามาในภาคอสังหาฯ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้มีที่อยู่ศัยในราคาที่เอื้อมถึงได้
👉🏿ประเทศไทยมีพื้นที่ทั้งหมด 320.70 ล้านไร่
กรมที่ดินมีพื้นที่ 130.74 ล้านไร่
(ส.ป.ก.) มีพื้นที่ 34.76 ล้านไร่
กรมป่าไม้ มีพื้นที่ 144.54 ล้านไร่
กรมธนารักษ์ มีพื้นที่ 9.78 ล้านไร่
ประเทศไทยมีประชากรทั้งสิ้น 64.871 ล้านคน มีเพียง 15,900,047 คน ที่มีที่ดินเป็นของตนเอง น้อยสุดคือ 1-10 ตารางวา จำนวน 285,952 คน และมากที่สุด คือ มากกว่า 1,000 ไร่ขึ้นไป จำนวน 837 คน โดยส่วนใหญ่ครอบครองที่ดินเฉลี่ยนคนละ 1-5 ไร่ มีจำนวน 3,482,206 คน
👉🏿 กรมที่ดิน (ประเภทของที่ดิน)
1. ที่ดินที่มีหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน
2. ที่ดินที่ไม่มีหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน
3. ที่ราชพัสดุ
4. ที่ดินของราชวิสาหกิจ
5. ที่ดินขององค์การปกครองท้องถิ่น
6. ที่ดินเพื่อการศาสนาและที่กุศลสถาน
7. ทางหลวงประเภทต่างๆ
8. ที่ดินเพื่อการชลประทาน (ขึ้นกับ 3)
9. ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
10. ที่ดินคณะลูกเสือแห่งชาติ
11. ที่ดินนิติบุคคล
12. สปก.
13. เขตป่าไม้
14. ที่ดินสาธารณะประโยชน์
👉🏿 ข้อมูลของมูลนิธิสถาบันที่ดินแห่งประเทศไทย ระบุข้อมูลเกี่ยวกับการครอบครองที่ดินะบุข้อมูลเกี่ยวกับการครอบครองที่ดินของภาคต่างๆ ในประเทศว่า จากพื้นที่ประเทศไทยที่มีอยู่ทั้งหมด 321 ล้านไร่ แบ่งเป็นที่ดินของรัฐ 183 ล้านไร่ คิดเป็นสัดส่วน 57.26 เปอร์เซนต์ ของเนื้อที่ทั้งหมด ส่วนที่เหลือ 138 ล้านไร่ เป็นที่ดินของเอกชน คิดเป็นสัดส่วน 42.74 เปอร์เซนต์ ที่ผ่านมากรมที่ดินออกเอกสารสิทธิ์ (โฉนดที่ดิน, น.ส.3 ก, น.ส.3, ใบจอง) ไปแล้วทั้งสิ้น 31.4 ล้านโฉนด คิดเป็นเนื้อที่ 127 ล้านไร่ โดยเอกสารสิทธินั้นกว่า 90 เปอร์เซนต์ กระจุกตัวอยู่กับกลุ่มบุคคลและนิติบุคคล 50 ราย ในสัดส่วน 10 เปอร์เซนต์ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งที่ดินเหล่านี้ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้โดยไม่ทำประโยชน์ มีมากถึง 48 ล้านไร่ ทำให้เกิดการสูญเปล่าทางเศรษฐกิจขั้นต่ำ 127,384.03 ล้านบาท เพราะที่ดินเป็นที่ดินที่ถูกกว้านซื้อเพื่อเก็งกำไร โดยไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์จริง
ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงข้าราชการระดับสูงที่ไม่ปรากฎข้อมูลต่อสาธารณะ แต่ก็เป็นที่คาดหมายได้ว่า มีแนวโน้มไปในลักษณะเดียวกัน ซึ่งตรงกันข้ามกับการถือครองที่ดินของเกษตรกร หรือคนยากจนในพื้นที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยที่ต้องใช้ที่ดินเป็นฐานทรัพยากรสำคัญในการผลิตเพื่อดำรงชีพ โดยข้อมูลจากการสำรวจพบว่า ปัจจุบันเกษตรกรรายย่อยไม่มีที่ดินเป็นของตัวเองไม่น้อยกว่า 811,892 ครอบครัว และในส่วนที่ต้องเช่าที่ดินทำกินมีจำนวนไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านครอบครัว รวมทั้งข้อมูลการสูญเสียที่ดินทำกินของเกษตรกรรายย่อยจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น การถูกไล่รื้อ ฟ้องร้องจากเจ้าของที่ดิน โดยเฉพาะประเด็นความเหลื่อมล้ำทางที่ดิน ที่เป็นกรณีพิพาทที่ดินระหว่างรัฐและเอกชนกับประชาชนที่ยากจน จนเป็นเรื่องฟ้องร้องดำเนินคดีที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ความไม่เป็นธรรมจากกลไกของรัฐและกระบวนการยุติธรรม ทำให้ส่วนใหญ่ต้องแพ้คดี นำมาซึ่งความสูญเสียที่ดินอยู่อาศัยทำกิน เป็นหนี้สิน ครอบครัวแตกแยก ชุมชนล่มสลายในที่สุด
10 ตระกูลถือครองที่ดิน
1. สิริวัฒนภักดี 630,000 ไร่
2. เจียรวนนท์ 200,000 ไร่
3. บมจ.สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม
44,400 ไร่
4. สนง.ทรัพย์สิน 30,000 ไร่
5. มาลีนนท์ 20,000 ไร่
6. บมจ.ไออาร์พีซี 17,000 ไร่
7. หมอบุญวนาสิน 10,000 ไร่
8. วิชัยพูลวรลักษณ์ 7000 ไร่
9. เตชะณรงค์ 5,000 ไร่
10 จุฬางกูร 5,000 ไร่
10 ตระกูลถือครองที่ดิน
1. สิริวัฒนภักดี 630,000 ไร่
2. เจียรวนนท์ 200,000 ไร่
3. บมจ.สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม
44,400 ไร่
4. สนง.ทรัพย์สิน 30,000 ไร่
5. มาลีนนท์ 20,000 ไร่
6. บมจ.ไออาร์พีซี 17,000 ไร่
7. หมอบุญวนาสิน 10,000 ไร่
8. วิชัยพูลวรลักษณ์ 7000 ไร่
9. เตชะณรงค์ 5,000 ไร่
10 จุฬางกูร 5,000 ไร่