Skip to main content

หนี้สาธารณะ​

หนี้สาธารณะ  หนี้ของรัฐบาล 
Government debt คือหนี้ที่ถือโดยรัฐบาลกลาง​ มักมาจากการดำเนินนโยบายของรัฐแบบขาดดุล หรือก็คือรายได้ของรัฐน้อยกว่ารายจ่ายของรัฐ ทำให้ต้องมีการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล
    หนี้สาธารณะนั้นจะนำมาซึ่งความสูญเสียเสถียรภาพทางการคลังและการเงินของประเทศ ซึ่งท้ายที่สุดจะทำให้ประเทศเกิดวิกฤติการณ์​ทางการเงิน 
   ทัศนคตินี้ไม่เป็นจริงเสมอไปหากรัฐบาลมีการบริหารจัดการสภาพคล่องของรัฐให้ดีมีวัตถุประสงค์ในการใช้เงินที่เหมาะสม และรักษาสัดส่วนหนี้ในประเทศและต่างประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
   เนื่องจากหนี้ในประเทศมีความยืดหยุ่นในการบริหารและความเสี่ยงต่ำกว่าหนี้ต่างประเทศ เพราะรัฐบาลที่มีอำนาจรัฐสามารถเจรจากับเจ้าหนี้ ซึ่งอยู่ใต้อำนาจรัฐได้ ทั้งยังสามารถหลีกเลี่ยงความผันผวนของค่าเงิน ตลอดจนสถานการณ์ของโลก 
   นอกจากนี้ความสามารถในการบริหารสภาพคล่องและหนี้สาธารณะ ยังเป็นปัจจัยสำคัญ ต่อการยกอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศสามารถจัดหาแหล่งทุนจากต่างประเทศได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง
สำหรับหนี้สาธารณะของประเทศไทยนั้น สามารถตรวจสอบได้ที่เว็บไซด์สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ 
http://www.pdmo.go.th/index.php
10 อันดับหนึ้สาธารณะ​ ต่อ​ GDP​ สูงสุด
  ประเทศ​   หนี้สาธารณะ​   GDP​ล้าน$
1. ญี่ปุ่น​          236 %    ​ 5,070,626
2. กรีซ​           182 %         218,057
3. เลบานอน​ ​​  147 %           56,709
4. อิตาลี​         132​ ​%      2,086,911  
5. โปรตุเกส​   126​ ​%         237,962
6. ซูดาน​        122​ %           33,249
7.​ สิงคโปร์​     111 %         346,621
8.​ สหรัฐ​ฯ​       105​ %    20,513,000
9.​ เบลเยียม​    103​ %         536,055
10.อียิปต์​       103​ %          249,471

ญี่ปุ่น
ปี 2007 อยู่ที่ 183%
ปี 2017 อยู่ที่ 253%
ปัจจุบันญี่ปุ่นมีหนี้สะสม สูงกว่าภาษีที่เก็บได้ถึง 15 เท่า
ธนาคารกลางญี่ปุ่นได้ลดดอกเบี้ย มาสู่ระดับใกล้ศูนย์ โดยปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ -0.1%
เจ้าหนี้ส่วนใหญ่ เป็นนักลงทุนในประเทศญี่ปุ่นเอง
สัดส่วนผู้ถือพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น
43% ธนาคารกลางญี่ปุ่น
17% ธนาคารในประเทศ
26% กองทุนประกันสังคม บำนาญ และประกันต่างๆ
12% สถาบันต่างประเทศ
1% รายย่อย
มีการประเมินว่า ภายใน 20 ปีข้างหน้า ต่อให้ดอกเบี้ยอยู่ในระดับนี้ แนวโน้มรายได้จากภาษี ก็จะไม่เพียงพอต่อการจ่ายดอกเบี้ยที่กู้ยืมมา
จึงทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ในอนาคต
อีกประเด็นที่สำคัญ ญี่ปุ่นได้เข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุมาตั้งแต่ปี 1970 ปัจจุบันมีประชากรที่อายุ 65 ขึ้นไป สูงถึง 28% ทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง
ซึ่งดูเหมือนว่าทางออกล่าสุด ญี่ปุ่นกำลังจะเน้นเรื่องการท่องเที่ยว ให้คนต่างชาติมาเที่ยวเพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศ
สัดส่วนรายจ่าย
รายจ่ายประกันสังคม 32.7% 
รายจ่ายชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย​ 24.3% รายจ่ายอุดหนุนท้องถิ่น 16.1% 
รายจ่ายอื่นๆ​ 26.9%
รายรับรัฐบาล​ มีสัดส่วนเพียง 61.7 % 
หรือทำให้ขาดดุลงบประมาณถึง 38.3% 
ซึ่งเป็นส่วนที่จะต้องสนับสนุนด้วยรายรับจากการออกพันธบัตรรัฐบาล
ได้มีการประมาณการว่าในอนาคต
งบประมาณรายจ่ายด้านประกันสังคม
จะเพิ่ขึ้นถึง​ 640 พันล้านเยนต่อปี
จากการที่ญี่ปุ่นเป็นสังคมผู้สูงอายุ
ประเทศ​ญี่ปุ่น​ (ล้านล้าน)​ ธนาคารโลก
ปี​          ​ GDP​    สาธารณะ
ค.ศ.​  (ล้าน​ล้าน)​us  ( % ) 
1997    4.415​     101.0
1998​    4.367​     110.6
1999​   ​ 4.562​     125.1
2000​    4.888​     131.6
2001​    4.304​     146.3
2002​    4.115​     154.7
2003​    4.446​     160.6
2004​    4.815​     170.6
2005​    4.755​     177.7
2006​    4.530​     176.8
2007​   ​ 4.515​     177.9
2008​    5.038​     189.0
2009​    5.231​     201.8
2010​   ​ 5.700​     209.7
2011​    6.157​     222.1
2012​    6.203     231.7
2013​    5.156​    233.0
2014​   ​ 4.850​    235.9
2015​    4.395​    233.2
2016​    4.949​    237.8
2017​   ​ 4.872​    234.4
2018​      ​ 237.3 
ญี่ปุ่น สังคมที่กลืนกินตัวเอง คนแก่มีจำนวนมากขึ้น คนวัยทำงานน้อยลง
ญี่ปุ่น สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่ มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า 20%
ญี่ปุ่น อาชญากรรมที่ผู้สูงวัยก่อเหตุมากขึ้น ต้องการเข้าคุก เพราะเงินบำนาญไม่พอ และในคุกมีทั้งอาหารและยารักษาโรค
ญี่ปุ่น ตายอย่างเดียวดาย ปรากฏการณ์สำหรับผู้สูงวัย ไม่มีบุตรหลานดูแล ไม่มีเงินแม้ค่าทำศพ แม้ตายไปแล้วยังไม่มีใครรับรู้
ญี่ปุ่นปีล่าสุด 2018 คือ
ภาษีสินทรัพย์ 14.1% 
ภาษีเงินได้นิติบุคคล 21.5% 
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 31.5% 
ภาษีบริโภค 32.9%  
1 ตุลาคม​ 2019​ 
ญี่ปุ่น​ตัดสินใจเพิ่ม VAT​ จาก​ 8%  เป็น​ 10  %
และจะมีการลดงบทางด้านสุขภาพ.... 


ล่าสุด มีรายงานตัวเลขอัตราการเกิดในประเทศญี่ปุ่นในปี 2019 ลดลงสู่ระดับต่ำที่สุดในรอบ 120 ปี อยู่ที่ 8.64 แสนคน ซึ่งได้สร้างความกังวลให้กับทางรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ขณะที่ตัวเลขจำนวนประชากรที่เสียชีวิตสูงถึง 1.376 ล้านคน แสดงว่าจำนวนประชากรญี่ปุ่นในปีนี้ ลดลงถึง 5 แสนคน ซึ่งมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
สำหรับไทย
ในงบประมาณ 2549 อยูที่ 1,659.2 บาท 
สําหรับประชากรที่มีสิทธิ 47.5 ล้านคน 
รวมเป็นเงินงบประมาณทั้งสิ้น 72,192 ล้านบาท
 งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จำนวน 3,000,000​ ล้านบาท
พ.ศ. 2561 จำนวน 3,050,000 ล้านบาท
หรือลดลงร้อยละ​ 1.6
โดยวงเงินงบประมาณดังกล่าว
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17.1
ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
==========================
👉🏿​เงินบาทแข็ง ภาคสาม
วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ CFP

​ดิฉันเคยเขียนเรื่องเงินบาทแข็งไปแล้วสองครั้ง ครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม 2547 ซึ่งดิฉันเขียนว่าความเป็นจริงคือ เงินดอลลาร์อ่อน และครั้งที่สองเมื่อเดือน สิงหาคม 2552 เมื่อเอเชียผงาดขึ้น และเงินดอลลาร์ทยอยลดความสำคัญลง ผู้ลงทุนจึงกระจายการลงทุนมาในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น
   
​ขออนุญาตนำส่วนที่เขียนอธิบายเรื่องการแข็งหรืออ่อนของค่าเงินว่าขึ้นอยู่กับอะไร ในบทความครั้งก่อนมาลง เพื่อปูพื้นสำหรับผู้อ่านที่ยังไม่เคยอ่าน หรืออ่านแต่ลืมไปแล้วนะคะ

​“การแข็งค่าหรืออ่อนค่าของเงินสกุลต่างๆ ตามทฤษฎีจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆหลายประการ คือ อัตราเงินเฟ้อ  ดุลการชำระเงิน และดุลบัญชีเดินสะพัด อัตราดอกเบี้ย  ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและการเมือง  นโยบายการเงินของรัฐ รายได้ประชาชาติ ธุรกรรมในตลาด และปัจจัยตลาดหรือความคาดหวังของผู้ลงทุนและผู้เกี่ยวข้องกับตลาด
​เงินเฟ้อทำให้ค่าของเงินลดลง ประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงกว่า จึงมีแนวโน้มที่ค่าของเงินจะอ่อนกว่าประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำกว่า  แต่เงินเฟ้อไม่ใช่ปัจจัยในตอนนี้
​ดุลการชำระเงินและดุลบัญชีเดินสะพัดที่เป็นบวกทำให้ค่าเงินแข็งขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่การส่งออกเป็นสัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมหรือ จีดีพี ค่าของเงินจะมีโอกาสแกว่งตัวได้มากกว่า เช่น ประเทศไทยของเรา
​นอกจากนี้ ถ้ามีเงินไหลเข้ามาก ในระยะเวลาอันสั้น ก็จะทำให้ค่าเงินแข็งขึ้น ซึ่งหากไหลเข้ามากเกินไปอย่างต่อเนื่องในเวลาอันสั้น ก็อาจจะทำให้ราคาสินค้าหรือบริการปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อได้
​ประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง จะดึงดูดเงินเข้ามาฝาก หรือมาลงทุน ซึ่งก็จะทำให้เงินแข็งค่า  ถ้าอัตราดอกเบี้ยต่ำ ก็จะทำให้เงินไหลออก ค่าของเงินก็จะอ่อน”

​สำหรับปัจจัยอื่นๆ เช่น ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและการเมือง หรือ การเก็งกำไรค่าเงิน รวมถึงการพักเงินในที่ปลอดภัย หรือการหนีจากที่ไม่ปลอดภัย ก็เป็นสาเหตุให้ค่าเงินของประเทศนั้นๆ แข็งขึ้น หรืออ่อนลงได้ค่ะ

​เงินบาทแข็งค่าในครั้งนี้ เกิดจากสองปัจจัยหลักคือ ความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจของเรา ที่ดิฉันกล่าวไว้ด้านบน ไม่ว่าจะเป็นดุลการชำระเงิน ดุลบัญชีเดินสะพัด อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และอื่นๆ อยู่ในเกณฑ์ดี ยิ่งถ้าเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ด้วยกันแล้ว ถือว่าอยู่ในแนวหน้าของตลาดเกิดใหม่เลยทีเดียว ดิฉันคิดว่าประเทศไทยเป็นอันดับหนึ่งเลยค่ะ และปัจจัยที่สอง คือ การที่เงินบาทมีเสถียรภาพ โดยเห็นชัดในช่วงสองปีที่ผ่านมา ผู้ลงทุน และผู้จัดการกองทุนต่างประเทศ มีลักษณะการเข้ามาถือครองเงินบาท เพื่อเป็นที่หลบภัย หรือ Safe Haven จึงดึงดูดให้เงินทุนให้ไหลเข้ามาซื้อหุ้น พันธบัตร และตราสารต่างๆในประเทศไทยอย่างมากมาย

​ปกติ เวลาเงินสกุลใดแข็งค่า จะเป็นโอกาสของคนสี่กลุ่มดังต่อไปนี้

​กลุ่มแรก คือ ผู้นำเข้าสินค้าและบริการ จะได้โอกาสในการชำระค่าสินค้าและบริการทีาเป็นเงินตราสกุลต่างประเทศ ด้วยการใช้เงินสกุลในประเทศน้อยลง ในกรณีของบ้านเราก็คือ ใช้เงินบาทน้อยลง

​กลุ่มที่สอง คือ ผู้มีภาระหนี้สินที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศ สามารถจ่ายคืนหนี้ได้ ด้วยจำนวนเงินบาทที่น้อยลง หรือหากยังไม่พร้อมหรือยังไม่ถึงเวลาจ่ายคืน ก็สามารถทำสัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าไว้ หรือซื้อออพชั่น(สิทธิ์)แลกเงินในอัตราที่กำหนดได้ โดยเสียค่าธรรมเนียมเป็นการแลกเปลี่ยน

​กลุ่มที่สาม คือ ผู้จะมีภาระชำระเงิน ในเร็วๆนี้ เช่น ค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศ ฯลฯ อาจจะแลกไว้เตรียมชำระ

​กลุ่มที่สี่ คือ ผู้ที่ต้องการนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ ก็สามารถแลกและส่งไปลงทุนได้ หากในอนาคตค่าเงินของเราอ่อนตัวลง เงินที่ลงทุนก็สามารถแลกกลับคืนเป็นบาทได้ ที่อัตราเพิ่มขึ้น ถือเป็นได้กำไรจากค่าเงิน

​แต่ก็สามารถกลับเป็นด้านตรงกันข้ามได้นะคะ คือ ถ้าหากค่าเงินแข็งค่าขึ้น เมื่อแลกกลับคืน ก็จะได้เงินบาทจำนวนที่น้อยลง กลายเป็นขาดทุนจากค่าเงิน ดังนั้น ในการนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ จึงต้องดูจังหวะด้วย หากเห็นแนวโน้มว่าค่าเงินบาทอาจจะแข็งค่าขึ้น ควรทำการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วยค่ะ

​นอกจากนี้ การลงทุนต้องมีจังหวะ ไม่ใช่เห็นว่าเงินบาทเราแข็งค่า จึงอยากแลกไปลงทุนอย่างเดียว หากโอกาสลงทุนในต่างประเทศไม่เป็นใจ แม้มีโอกาสแลกเงินได้ในอัตราที่ดี แต่ก็มีโอกาสขาดทุนจากการลงทุนได้ค่ะ

​ช่วงที่เงินบาทแข็งที่มีสาเหตุจากเงินทุนไหลเข้านั้น ส่วนใหญ่เป็นช่วงที่โอกาสในการลงทุนอยู่ในบ้านเรา จึงทำให้เงินทุนจากต่างประเทศไหลมาลงทุน และทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นจากเงินทุนไหลเข้า

​ตอนนี้ เศรษฐกิจของประเทศต่างๆในโลกส่วนใหญ่ อยู่ในวัฏจักรสุดท้ายของเศรษฐกิจขาขึ้น (Late Cycle) พูดง่ายๆคือ การเติบโตกำลังจะลดลงแล้ว แต่จะค่อยๆ ลด หรือจะลดฮวบฮาบ ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ ว่าผูกพันกับปัจจัยใดมากกว่ากัน

​ประเทศจีน ที่ผูกพันกับการส่งออก ทำหน้าที่เป็นโรงงานผลิตสินค้าโดยอาศัยค่าแรงที่ต่ำ และปัจจัยการผลิตที่แม้แต่ผู้ผลิตเองก็ยังตีมูลค่าไม่ถูก และมีส่วนอย่างมาก ที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อของโลกในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อยู่ในอัตราต่ำ เมื่อการส่งออกมีข้อติดขัด จึงรับผลกระทบมากเป็นธรรมดา

​ทุกประเทศจึงหันมาทำการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในกันอย่างเต็มที่

​ขอให้ทุกท่านวางแผนลงทุนด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง และใช้โอกาสต่างๆให้เป็นประโยชน์นะคะ