Skip to main content

การเมืองไทย2494-2504

29​ พฤศจิกายน​ 2494  (รัฐประหาร)​

เหตุเนื่องจาก จอมพล ป. พิบูลสงคราม
 นายกรัฐมนตรี อ้างว่าไม่ได้รับความสะดวกในการบริหารราชการแผ่นดิน เหตุสืบเนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2492 อันเป็นรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ขณะนั้น ไม่เอื้อให้เกิดอำนาจ คือให้ผู้ที่เป็นสมาชิกวุฒิสภาจะเป็นข้าราชการประจำไม่ได้และอ้างภัยคอมมิวนิสต์​
  6 ธันวาคม​ 2494​  แต่งตั้ง​ สว.
👉​ 2494​ -​ 16​ กันยายน​ 2500
      พรรค​ ธรรมาธิปั​ตย์, เสรีมนังค​ศิลา
ผู้นำหลัก
จอมพล​ ป.​ พิบูลสงคราม
พลตำรวจเอก​ เผ่า​ ศรียา​นนท์​
จอมพล​ สฤษดิ์​ ธนะรัชต์
ผู้นำรอง
      
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 7
(26​ ก.พ. พ.ศ. 2495 - 25 ก.พ.​ พ.ศ.2500)   
มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 246 คน 
 สส.เขต​ 123 คน และ​  สว.แต่งตั้ง 123 คน  
พรรคประชาธิปัตย์​ โดยนายควง​ อภัยวงศ์​
ประท้วงที่มาของสว.​
โดยการไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง​
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 8 
(26 กุมภาพันธ์ - 16 กันยายน พ.ศ. 2500) เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประเทศไทย มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 283 คน โดยมาจากการเลือกตั้งแบบประเภทที่ 1 ซึ่งแบ่งเขตทั้งหมด 160 คน​ และแบบประเภทที่ 2 ซึ่งเป็นการแต่งตั้ง 123 คน จากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500
👉​ 16​ ก.ย.​ 2500​  -​ 21​ ก.ย.​ 2500

เผ่า ศรียานนท์

พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก 
พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์
 (1 มีนาคม พ.ศ. 2452 — 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2503) 
อดีตอธิบดีกรมตำรวจพ.ศ. 2494 - 2500 เจ้าของคำขวัญ "ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ ในทางที่ไม่ขัดต่อศีลธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามและกฎหมายบ้านเมือง" 
เขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รักษาความสงบภายในทั่วราชอาณาจักร ในเหตุการณ์การรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2494 โดย คณะบริหารประเทศชั่วคราว
ในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 เนื่องจากเป็นอธิบดีกรมตำรวจ เขายังเป็นบุคคลหนึ่งที่มีบทบาททางการเมืองสูงมากในช่วงก่อนการรัฐประหาร พ.ศ. 2500
อธิบดีกรมตำรวจ​ 2 กรกฎาคม​ 2494
ถึง​ 14​กันยายน​ 2500
เกิด​ 2452
เสีย​ 2503  ที่เจนีวา
ห้วหน้าพรรค​ เสรีมนังคศิลา
ตำบลบางขุนพรหม อำเภอบางขุนพรหม จังหวัดพระนคร เป็นบุตรของพันตำรวจโท พระพลาพิรักษ์เสนีย์ (พลุ้ย ศรียานนท์) และนางพงษ์ ศรียานนท์ ครอบครัวมีเชื้อสายพม่า[7]สมรสกับคุณหญิงอุดมลักษณ์ ศรียานนท์ (สกุลเดิม: ชุณหะวัณ) บุตรสาวของจอมพลผิน ชุณหะวัณ

ยุคของพล.ต.อ.เผ่านั้น ถูกเรียกว่ายุค "รัฐตำรวจ"หรือ "อัศวินผยอง" เนื่องจาก พล.ต.อ.เผ่า ได้เสริมสร้างขุมกำลังตำรวจจนสามารถเทียบเท่ากับกองทัพ ๆ หนึ่งเหมือนทหารได้ โดยเริ่มให้มี ตำรวจน้ำตำรวจพลร่มตำรวจม้าตำรวจรถถัง ตลอดจนให้มีธงไชยเฉลิมพลเหมือนทหาร จนมีการกล่าวในเชิงประชดว่า อาจจะมีถึงตำรวจเรือดำน้ำเป็นต้น
ในทางการเมือง พล.ต.อ.เผ่า
 มีฐานะเป็นเลขาธิการพรรคเสรีมนังคศิลาของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่ถูกกล่าวว่าสกปรกที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะมีตั้งแต่การข่มขู่ผู้ลงคะแนนให้เลือกแต่พรรคเสรีมนังคศิลา มีการเวียนเทียนลงคะแนนกันหลายรอบ ที่เรียกว่า พลร่ม หรือ ไพ่ไฟ และนับคะแนนกันถึง 7 วัน 7 คืน​ โดยในยุคนั้นประชาชนทุกคนต่างรู้ดีว่า ไม่ควรจะกระทำการใดที่เป็นการต่อต้านอำนาจรัฐเพราะอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เช่น กรณีสังหาร 4 อดีตรัฐมนตรีที่ถนนพหลโยธิน กิโลเมตรที่ 13 เมื่อปี พ.ศ. 2492 หลังเหตุการณ์กบฏวังหลวง หรือการจับถ่วงน้ำ นายหะยีสุหรง อับดุลกาเดร์ อิหม่ามชาวจังหวัดปัตตานี ที่ทะเลสาบสงขลา เป็นต้น ล้วนแต่เป็นฝีมือตำรวจ​ โดย พล.ต.อ.เผ่า และเป็นที่รับรู้กันว่าตำรวจเป็นผู้เลี้ยงบรรดานักเลง อันธพาลในยุคนั้นเป็นลูกน้องด้วย ซึ่งเรียกกันว่า "นักเลงเก้ายอด" อันมาจากการที่นักเลงอันธพาลเหล่านั้นสามารถเข้าออกกองบัญชาการตำรวจกองปราบที่สามยอดได้โดยสบาย​ ซึ่งทำให้เหล่านักเลงอันธพาลเกลื่อนเมือง
จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้กลุ่มนายทหารที่นำโดย พลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไม่พอใจ โดยเริ่มทำการปราศรัยโจมตีตำรวจที่ท้องสนามหลวงบนลังสบู่ ที่เริ่มกันว่า "ไฮปาร์ค"  และทางตำรวจก็ตอบโต้ด้วยการไฮปาร์คบ้าง จนในที่สุดนำไปสู่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 ซึ่งเหตุการณ์ในวันนั้น พล.ต.อ.เผ่า ยังไม่ได้หลบหนีไปต่างประเทศเหมือนจอมพล ป. แต่ยอมเข้ามอบตัวแต่โดยดี โดยกล่าวว่า "อั๊วมาแล้ว จะเอายังไงก็ว่ามา
วันรุ่งขึ้น พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ได้ลี้ภัยการเมืองไปอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พล.ต.อ.เผ่า มีทรัพย์สินอยู่มากมาย มีคฤหาสน์หลังใหญ่ติดทะเลสาบที่นครเจนีวา จนครั้งหนึ่งเมื่อนิตยสารต่างประเทศฉบับหนึ่งจัดอันดับมหาเศรษฐี 10 อันดับของโลก ก็มีชื่อของ พล.ต.อ.เผ่า ติดอยู่ในอันดับด้วย
👉​ เป็นรัฐมนตรี​มหาดไทย​ ปี2500
      ต่อจากนั้น​ พลตรี ประภาส จารุเสถียร
👉  ​สฤษดิ์ ธนะรัชต์
       16 มิถุนายน พ.ศ. 2451 — 
         8 ธันวาคม พ.ศ. 2506)
 เป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 11, 
เป็นผู้ริเริ่มการจัดทำ
เป็นผู้ก่อตั้งสำนักงบประมาณ
 เป็นผู้ก่อตั้งธนาคารทหารไทย 
เจ้าของคำพูดที่ว่า
 "พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ" และ
 "ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว"
ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์ได้ให้การสนับสนุนผู้มีอำนาจของประเทศลาว นายพลพูมี หน่อสะหวัน ในการต่อสู้กับกองโจรคอมมิวนิสต์ประเทศลาว ในราชอาณาจักรลาว
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506 ที่ โรงพยาบาลาพระมงกุฎเกล้า ด้วยโรคไตพิการเรื้อรัง และอีกหลายโรค สิริอายุ 55 ปี
👉​ เหตุการณ์​ปี​ พ.ศ.​ 2500
   สาเหตุเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500​ ซึ่งมีการกล่าวขานว่าเป็นการเลือกตั้งสกปรก ซึ่งผลคือ พรรคเสรีมนังคศิลา ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รับเสียงข้างมาก และได้ตั้งรัฐบาล ท่ามกลางความวุ่นวายอย่างหนักจากการเดินประท้วงของประชาชนจำนวนมาก ที่เรียกร้องให้จอมพล ป. พิบูลสงครามและพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ ลาออกจากตำแหน่ง เมื่อสถานการณ์ลุกลาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้แต่งตั้งให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้บัญชาการ 3 เหล่าทัพ เพื่อคอยควบคุมสถานการณ์ แต่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์สั่งไม่ให้ทหารทำอันตรายประชาชนที่เดินขบวนชุมนุมประท้วง และเป็นผู้นำประชาชนเข้าพบจอมพล ป. ที่ทำเนียบ ทำให้กลายเป็นขวัญใจของประชาชนทันที จนได้รับฉายาในตอนนั้นว่า "วีรบุรุษมัฆวานฯ"
จากเหตุการณ์ดังกล่าว และเห็นว่ารัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามขาดความชอบธรรมในการปกครองบ้านเมืองแล้ว จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์จึงประกาศลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
 คงเหลือแต่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเพียงอย่างเดียว